ประสบการณ์การถ่ายภาพดาราศาสตร์ (Astrophotography)
เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ผมอยู่ที่เชียงใหม่ครับเพื่อเข้าร่วมกิจกรรมหนึ่งที่พบเจอโดยบังเอิญในกลุ่มของคนที่ถ่ายภาพดาวและธรรมชาติ ซึ่งกิจกรรมที่ว่าคือ "การล่าช้างต้นฤดู" แต่อย่าเข้าใจผิดนะ เราไม่ได้ไปรวมตัวกันฆ่าสัตว์แต่อย่างใด ช้างที่ว่าคือ "ทางช้างเผือก" นั่นเอง ผมนั้น อยากถ่ายรูปแบบนี้มาตั้งนานเลย ก็เลยขอเข้าร่วมไปด้วยความตื่นเต้นเลยล่ะ
ทางช้างเผือก ปกติแล้วจะปรากฎตัวให้เห็นชัดๆ ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ไปจนถึงเดือนตุลาคมเลยครับ โดยองศาของมันก็จะเปลี่ยนไปตามช่วงเวลา ในตอนที่ผมไปนั้นจะเป็นช่วงที่ทางช้างเผือกจะค่อนข้างขนานกับขอบฟ้า และขึ้นตอนประมาณตีสี่ของเช้าวันนั้น
การถ่ายรูปทางดาราศาสตร์มีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า "Astrophotography" และกิจกรรมที่จัดนี้คือ "Astrophotography Marathon" จัดโดยทหารอากาศร่วมกับ NARIT (สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ) และชมรมการถ่ายภาพภาคเหนือ ด้วยความที่ทางช้างเผือกขึ้นตีสี่ ก่อนหน้านั้นทาง NARIT ก็ได้พาเราไปถ่ายทุกสิ่งอย่างที่เราจะสามารถถ่ายได้ใน 1 วัน (เรียกว่า 1 คืนแล้วกัน)
ใครอยากรู้ว่าเราสามารถถ่ายอะไรได้บ้าง อ่านได้ที่นี่
เป็นประสบการณ์ที่สนุกมากเลย ต้องเตรียมตัวให้พร้อมมากๆ อากาศที่เย็นลงเรื่อยๆ ในช่วงนี้ ในช่วงเย็นสัก 12-14 องศาก็พอทนกันได้ พอเริ่มช่วงดึกเริ่มเหลือเลขตัวเดียว และปิดท้ายด้วยตัวเลข 2 องศาที่เวลา 2 - 6 นาฬิกาของอีกวัน
ผลงานจากทริปนี้อยู่ที่นี่ครับ https://www.flickr.com/photos/macbaszii/sets/72157650710600268/
ผลงานจากทริปนี้อยู่ที่นี่ครับ https://www.flickr.com/photos/macbaszii/sets/72157650710600268/
สิ่งที่ควรรู้ในการถ่ายภาพทางดาราศาสตร์เท่าที่ผมเก็บประสบการณ์มาก็คือ
- สถานที่ในการถ่ายภาพทางดาราศาสตร์ ต้องเป็นที่ที่มืด(สนิทได้ยิ่งดี) ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า "มลภาวะทางแสง" เช่นแสงจากไฟตึก แสงจากชุมชน เป็นต้น
- ยิ่งสูง ยิ่งดี อย่างดอยอินทนนท์เหมาะสุด เพราะสูงจากระดับน้ำทะเล 1600 เมตร เพราะว่าในที่ต่ำๆ ในการถ่ายภาพวัตถุบนท้องฟ้านั้น ความห่างระหว่างพื้นดิน และท้องฟ้ายิ่งห่างมาก ก็จะมีโอกาสมีมลภาวะเยอะ เช่น ฝุ่น ควัน หรือ หมอก
- เราก็รู้ว่า "ดาว" มันเต็มฟ้าไปหมด ดังนั้นเราควรจะมีเป้าหมายในการถ่าย เช่นจะถ่ายกลุ่มดาวนายพราน กลุ่มดาวคนยิงธนู หรือถ่ายทางช้างเผือก อะไรก็แล้วแต่ เหมือนหลักการคิดในการหาจุดสนใจนั่นแหละ
- เราต้องรู้ว่า ดาวมีการขยับเนื่องจากโลกเราหมุนรอบตัวเอง โดยทิศทางของดาวจะหมุนรอบดาวเหนือ วิธีการคำนวณเราจะใช้สูตร 400/600 นั่นคือ ถ้ากล้องเราเป็น Full Frame ให้นำ 600 หารด้วยทางยาวโฟกัสของเลนส์ที่ใช้ หรือใช้ 400 หารเมื่อใช้ APS-C แต่ถ้าใช้พวก M4/3 อาจจะต้องใช้ค่าอื่น ลองคำนวณดูครับ จะได้ผลลัพธ์เป็นวินาทีที่เราจะเปิดหน้ากล้องเพื่อถ่ายดาวกัน (Speed Shutter) ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ดาวมันเป็นขีดจากเคลื่อนที่นั่นเอง
- ค่า Aperture หรือ "รูรับแสง" ที่เหมาะสมในการถ่ายดาวคือตั้งแต่ 2.2 จนถึง 5.6 ไม่ควรเกินจากนี้ และต่ำกว่านี้ (จริงๆ อยากใส่ Upper Bound เป็น 4 ด้วย)
- ค่า ISO ดันไปเลยครับ อยู่ในช่วง 2500 - 3200 ก็ได้ ตามแต่ค่ารูรับแสงเราจำอำนวย หรือ Noise ที่เรารับได้ หลังจากที่เราได้ภาพแล้ว
- ถ่ายดาวต้องไม่กลัว "Noise"
- ขาตั้งกล้อง (ถ้าไม่มี นอนเถอะครับ)
- ถ้าอยากได้ภาพความละเอียดสูง ควรจะใช้วิธีการถ่ายแบบ Panorama โดยถ่าย Portrait มาต่อเอา เนื่องจากแสงบนท้องฟ้า ค่อนข้าง Sensitive ดังนั้นอยากต่อให้เนียน ต้องถ่ายให้เหลื่อมกันน้อยๆ หวังผลจริงๆ ต้องยอมเสียเวลาครับ
- ใช้ระบบ Manual ทั้งหมด แล้วอย่าลืมปิด OIS ขณะกล้องอยู่บนขาตั้ง
- Focus Infinity หมายถึงการที่เราไม่รู้ว่าวัตถุที่เราต้องถ่ายอยู่ห่างออกไปเท่าไหร่ ดังนั้นต้องหมุนให้เป็นครับ โดยมากมักต้องเลื่อนขีดมาให้สุด แล้วเลื่อนกลับไปนิดนึง วิธีการก็คือ หาดาวสว่างๆ แล้ว Zoom เข้าไปเช็คโฟกัสเลยครับ หมุนให้ดาวที่เราต้องการเช็ค เล็กที่สุดที่ตาเห็น
- "จบหลังกล้อง" อาจจะเป็นไปได้ แต่ถ้าอยากให้สวย ไม่ต้องไปถืออะไรมาก Process เหอะ
- Dark Frame คือการปิดฝาหน้าของกล้อง แล้วถ่ายที่การตั้งค่า และอุณหภูมิเดียวกัน กับภาพที่ถ่าย ใช้ในการถ่าย Star Trails เท่านั้น เพื่อนำมาทำการลบ Noise และ Hot Pixel ที่เกิดขึ้นจากการใช้งาน Sensor ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน
- Long Exposure Noise Reduction หลายคนบอกให้ปิด แล้วนำ Dark Frame มาทำการลบ Noise เอา ซึ่งให้ปิดเฉพาะตอนที่ถ่าย Star Trails เท่านั้น เพื่อไม่ให้เกิดการห่างของดาวมากเกินไป ส่วนในการถ่าย Single Shot ทั้งดาว ทางช้างเผือก และปรากฎการณ์ทางดาราศาสตร์อื่นๆ เปิดไว้ดีแล้วครับ
- การใช้แผนที่ดาว หรือ Application สำคัญมากครับ เช่นทางช้างเผือก เราจะเห็นมันเป็นกลุ่มดาวใหญ่ๆ เรียงกันเท่านั้น ต้องถ่ายมาเทสก่อน ว่าใช่ Composition ที่ต้องการหรือไม่ ซึ่ง Application เหล่านี้ก็จะช่วยให้เราทำงานง่ายขึ้น ผมแนะนำ Star Chart
- ความระมัดระวัง อย่ารีบร้อนในทุกเรื่องครับ เพราะในสถานที่ถ่ายดาวนั้น ถ้าเป็นกิจกรรมแบบนี้คนจะค่อนข้างเยอะ และมันมืดสนิทครับ มืดขนาดว่าต้องให้ตาเราเปิดรูรับแสงเพื่อให้ชินกับความมืด ณ ที่นั่น เพื่อมองเห็น ไฟที่ใช้ให้ส่องต่ำเข้าไว้ระวังไปเข้ากล้องคนอื่น (หลายคนใช้ไฟฉายสีแดง)
- ในการถ่ายทางช้างเผือก (หรือปรากฎการณ์ทางดาราศาสตร์อื่นๆ) ถ้าเราต้องการเปิดฉากหน้า เราจะใช้ไฟฉายครับ ไฟฉายแรงๆ ส่องไปที่ฉากหน้า (อย่าค้างนะ แต่ 2-3 วินาทีตอนที่เริ่มเปิด Shutter ก็พอ)
- ในการถ่าย Star Trails อาจจะต้องใช้เวลานาน (1-4 ชั่วโมง) ถ้าพบว่าพื้นที่มีความชื้น อย่าลืมนำเสื้อ หรือถุงพลาสติก คลุมตัวกล้องไปจนถึงกระบอกเลนส์ให้ดี เพื่อกันน้ำค้าง
Comments
Post a Comment